วันจันทร์ที่ 15 พฤศจิกายน พ.ศ. 2553

อาหารแก้หวัด

ในช่วงฤดูฝนนี้ อากาศเปลี่ยนแปลงบ่อย ดูเหมือนว่าคนจะเป็นหวัดกันมากขึ้น
ซึ่งเราสามารถป้องกันหวัดด้วยวิธีง่ายๆ กับอาหาร 7 อย่างที่ช่วยต้านหวัด

1.โยเกิร์ต
โยเกิร์ตเต็มไปด้วยสิ่งมีชีวิตนับล้าน ที่ปกป้องร่างกายจากแบคทีเรียอันตรายและเชื้อโรคต่าง ๆ ที่จะเข้ามาทำร้ายเรา พวกมันเหมือนกองทหารที่อยู่ในลำไส้ คอยขับไล่สิ่งแปลกปลอมที่คิดร้าย โดยกองทหารพวกนี้ มีชื่อคุ้นหูว่า 'โปรไบโอติกส์' ทั้งแล็กโตบาซิลลัส และไบไฟโดแบคทีเรียม ซึ่งจะไปเพิ่มเม็ดเลือดขาว ในร่างกายและป้องกันเชื้อโรคได้นั่นแหละ

2.ชา
เครื่องดื่มเพื่อสุขภาพ ยอดนิยมรองลงมาจากน้ำเปล่า ชาทั่วไปจะมีสารโพลีฟีนอลซึ่งเป็นสารต้านอนุมูลอิสระ ช่วยฆ่าแบคทีเรีย ไวรัส และยับยั้งอาการอักเสบ นอกจากนี้ ผู้เชี่ยวชาญยังเชื่อว่าประโยชน์ส่วนหนึ่งของชาอยู่ที่ความอุ่น สำหรับคนที่เป็นหวัดแล้ว เครื่องดื่มหรือน้ำซุปอุ่น ๆ จะให้ความรู้สึกไหลลื่น และการสูดเอาไออุ่น ๆ จากชาเข้าไปก็จะช่วยให้โล่งจมูกได้มาก อย่างไรก็ดี การเติมนมลงไปในชา อาจทำให้ร่างกายของเราดูดซึมสารคาเตชินได้ไม่มากเท่าที่ควร ดังนั้น ถ้าอยากต้านหวัดจริง ๆ ก็ดื่มชาอุ่น ๆ ธรรมดาดีกว่านะ

3.หอยนางรม
อย่าเอ็ดไป แต่เขาบอกว่า หอยนางรมคือยาปลุกพลังชั้นดีที่สุดที่มีอยู่ตามธรรมชาติ เพราะสังกะสีที่มีอยู่ในหอย จะช่วยปลุกฮอร์โมนเทสทอสเทอโรนให้แก่ทั้งชายและหญิง หุหุ แต่นั่นไม่ใช่เรื่องสำคัญ ประเด็นอยู่ที่ว่า สังกะสีช่วยปกป้องเราจากหวัดและไข้หวัดใหญ่ได้ต่างหาก มันจะทำให้เม็ดเลือดขาวทำงานได้ดีขึ้น เพื่อตักจับและทำลายสิ่งแปลกปลอมที่เข้าสู่ร่างกาย แต่ทั้งนี้ FDA เขาก็เตือนมาว่าอย่ากินสังกะสีเกินวันละ 11 มิลลิกรัม ไม่งั้นมันจะเป็นพิษ โดยหอยนางรมตัวปานกลางหนึ่งตัวจะมีสังกะสีมากถึง 12.7 มิลลิกรัม มากกว่าปริมาณที่สาว ๆ ต้องการในหนึ่งวันอีกนะ ดังนั้น 1 วัน 1 ตัว ก็พอแล้วจ้า

4.ขมิ้น
ใครนึกไม่ออกว่าจะกินขมิ้นอย่างไรก็ควรจะลองกินแกงกะหรี่สีเหลืองดู และสาเหตุที่ขมิ้นมีสีเหลืองออกทองก็เป็น เพราะสารเคอร์คิวมินซึ่งเป็นโพลิฟีนอลตัวหนึ่งนี่เอง โดยการศึกษาในปี 2008 จาก Biochemical and Biophysical Research Communications ชี้ว่าสารเคอร์คิวมินนี้ช่วยไม่ให้เกิดการอักเสบในร่างกายได้ สำหรับผงขมิ้นแล้ว ถ้าใช้ภายนอกจะมีคุณสมบัติเป็นยาฆ่าเชื้ออีกด้วย...วิเศษสุด ๆ

5.พริกหวานสีแดง
ถ้าเทียบกันแบบนักมวยกิโลฯ ต่อกิโลฯ พริกหวานสีแดงมีวิตามินซีมากกว่าผักและผลไม้อื่น ๆ ถึงสองเท่า วิตามินซี เป็นที่รู้จักดีในฐานะวิตามิน เพื่อดูแลผิวพรรณ ดังนั้น เมื่อผิวพรรณแข็งแรง ก็เท่ากับว่าปราการด่านแรกของร่างกายแข็งแรงไปด้วย นอกจากนี้ ยังช่วยเพิ่มจำนวนเม็ดเลือดขาวและการสร้างแอนตี้บอดี้ด้วย

6.ฟักทอง
ท่องกันมาตั้งแต่เด็กว่าฟักทองมีวิตามินเอ และวิตามินเอนี่ล่ะที่ช่วยให้เซลล์ แต่ละเซลล์ของเราสื่อสารกันได้อย่างปกติ (จึงช่วยป้องกันมะเร็งด้วย) การกินวิตามินเอเป็นประจำจะทำให้ทางเดินหายใจมีสุขภาพดีอยู่เสมอ ซึ่งเหมาะกับหน้าหวัดเป็นอย่างยิ่ง แต่จุ๊ ๆ อย่าเพิ่งดีใจไป การกินวิตามินเอมากเกินไปไม่ดีเลยนะ มันอาจไปสะสมอยู่ในเซลล์ไขมัน และเมื่อมีมาก ๆ ก็เป็นอันตรายได้ ถ้าใครคิดอยากกินวิตามินเอจากแคปซูล ก็น่าจะลองกินฟักทองดีกว่านะ ปลอดภัยกว่ากันเยอะ

7.บร็อกโคลี่
สีเขียวเข้มสวยกับใบพุ่มใหญ่ ๆ คอยบอกใบ้ว่าบร็อกลี่ดีต่อสุขภาพของเรามาก ๆ บร็อกโคลี่เป็นพืชที่อยู่ในตระกูลผักกาด ซึ่งมีสารต้านอนุมูลอิสระอยู่มากมาย และเป็นแหล่งของวิตามินเอ ซี อี นอกจากนี้ ยังมีสารกลูโคไซโนเลต สังกะสี และซีลีเนียม ช่วยให้ร่างกายสร้างภูมิต้านทานจากเชื้อโรคต่าง ๆ ขอแค่เพียง บร็อกโคลี่วันละหนึ่งถ้วย เราก็ได้วิตามินซี เท่าที่ต้องการในแต่ละวัน ป้องกันเชื้อโรค และอาการอักเสบภายในร่างกายได้

วันเสาร์ที่ 13 พฤศจิกายน พ.ศ. 2553

ช่วยกันดูแลตับกันเถอะ


ตับ เป็นอวัยวะสำคัญ และใหญ่ที่สุดของร่างกายที่มีเพียงหนึ่งเดียว แต่มีหน้าที่สำคัญหลายอย่าง ทั้งทำลายสารพิษต่างๆ ที่เข้าไป หรือสร้างขึ้นภายในร่างกาย ทำลายหรือทำให้ยาต่าง ๆ ออกฤทธิ์ดีขึ้น สร้างน้ำดี สารที่ทำให้เลือดแข็งตัว และฮอร์โมนหลายชนิด รวมทั้งมีบทบาทสำคัญต่อภูมิต้านทานของร่างกาย ควบคุมการเผาผลาญและสร้างสารอาหารหลาย ๆ ชนิด เช่น สร้างน้ำตาลกลูโคส กรดอะมิโนและโปรตีน ไขมันทั้งไตรกลีเซอไรด์และโคเลสเตอรอล ทำให้วิตามินทำงานได้ดีขึ้น และเป็นแหล่งสะสมวิตามินหลายชนิด

ตับ จึงเปรียบเสมือนแผนกพลาธิการของร่างกาย เพราะควบคุมการใช้สารอาหารส่วนใหญ่ ดังนั้นเมื่อตับทำงานไม่ปกติ จึงทำให้เกิดโรคต่าง ๆ ตามมาได้มาก และอาจเกิดอันตรายถึงชีวิตได้ การถนอมรักษาตับจึงมีความสำคัญต่อสุขภาพเป็นอย่างยิ่งแต่ถ้าป่วยแล้วล่ะ
กินถูกหลักจะช่วยได้หรือไม่ อย่างไร การกินอาหารถูกหลักในคนที่ป่วยเป็นโรคตับจะช่วยให้สุขภาพดีขึ้นหรือไม่ ขึ้นอยู่กับโรคและระยะของโรค เช่น
- ตับอักเสบจากสุรา ถ้าขาดอาหารจะมีอัตราตายสูงกว่าคนที่ไม่ขาด และถ้าได้รับสารอาหารครบถ้วนในปริมาณเพียงพอ จะช่วยการฟื้นตัวของตับให้ดีขึ้นได้
- ตับอักเสบจากไวรัสตับอักเสบ ถ้าได้รับอาหารครบถ้วนในปริมาณเพียงพอ จะช่วยการฟื้นตัวของตับให้ดีขึ้นได้
- ไขมันแทรกในตับ ในขณะนี้ การลดอาหารและลดน้ำหนักเป็นวิธีเดียวที่ได้ผลในการลดปริมาณไขมันที่แทรกในเซลล์ตับ และลดความเสี่ยงของการเกิดตับแข็งตามมา
- ตับแข็ง มีการดัดแปลงสารอาหารบางอย่างที่จะลดอาการของคนที่ป่วยได้ เช่น ถ้าบวมหรือมีน้ำในท้อง ต้องลดเกลือโซเดียมและอาหารเค็ม ถ้ามีอาการหมดสติหรือซึมจากตับวาย การปรับปริมาณและประเภทของโปรตีน จะช่วยลดอาการของผู้ป่วยได้
- มะเร็งตับ ถึงแม้ว่าอาหารจะไม่แก้ไขโรคมะเร็ง แต่การกินอาหารให้ถูกหลักจะช่วยเตรียมสภาพร่างกายของผู้ป่วยให้พร้อมรับการรักษาที่เหมาะสม ไม่ว่าจะเป็นการผ่าตัด หรือการให้ยาอื่น ๆกินถูกหลัก ช่วยสร้างเสริมตับได้จริงนะ ในภาวะปกติ :ไม่จำเป็นต้องเลือกกินอาหารแบบใดเป็นพิเศษเพื่อบำรุงตับ เพียงแค่กินอาหารให้ครบ 5 หมู่อย่างเหมาะสม และหลีกเลี่ยงอาหารที่มีผลเสียต่อตับ ตามที่ได้กล่าวถึงไว้แล้วเท่านั้น ในกรณีที่มีตับอักเสบ :หรือผู้ป่วยตับแข็งระยะต้น ๆ ควรกินอาหารให้ครบ 5 หมู่อย่างเพียงพอ เพื่อช่วยการซ่อมแซมตับและทำให้การฟื้นตัวดีขึ้น ป้องกันภาวะทุพโภชนาการ ซึ่งจะทำให้เกิดภาวะแทรกซ้อนได้ง่าย ๆ ไม่จำเป็นต้องงดไขมัน ยกเว้น มีอาการท้องอืดหลังกินอาหารมัน ๆ และไม่ต้องกินคาร์โบไฮเดรตเพิ่ม ในขณะที่มีตับอักเสบตามความเชื่อสมัยก่อน เพราะทำให้ผู้ป่วยส่วนหนึ่งมีไขมันชนิดไตรกลีเซอไรด์สูงขึ้นมากได้ ในระยะที่มีตับอักเสบ แพทย์อาจให้ผู้ป่วยกินวิตามินเสริม เพื่อช่วยในการซ่อมแซมตับ แต่ไม่ควรซื้อยาหรือผลิตภัณฑ์เสริมอาหารกินเองในช่วงนี้ เพราะอาจมีผลข้างเคียงต่อการทำงานของตับได้
ถนอมตับไว้ไม่ให้สึกหรอก่อนวัย วิธีที่ดีที่สุดคือการป้องกันโรคที่ป้องกันได้ เช่น
- ฉีดวัคซีนป้องกันตับอักเสบ
- ระวังการกินยา หรือผลิตภัณฑ์เสริมอาหารที่อาจมีผลข้างเคียงต่อตับ
- งดหรือลดการดื่มสุรา - งดกินปลาดิบ เพื่อป้องกันพยาธิใบไม้ในตับ
- ลดหรือหลีกเลี่ยงอาหารซึ่งจะมี”อฟลาทอกซิน”ปนเปื้อน
สำหรับการกินอาหารเพื่อถนอมรักษาตับ ประเด็นที่สำคัญ คือ ป้องกันโรคอ้วนและหลีกเลี่ยงการกินอาหารที่มีคาร์โบโฮเดรตสูงต่อเนื่องในปริมาณมาก ซึ่งอาจเป็นสาเหตุกระตุ้นให้มีไขมันแทรกในตับได้มากขึ้น
ฝากไว้อีกนิด ”ตับ” เป็นอวัยวะที่สำคัญมากในการดำรงชีวิต และมีเพียงชั้นเดียว การถนอมรักษาตับเพื่อป้องกันตับแข็งและมะเร็งตับ จึงมีความสำคัญมาก และควรป้องกันตั้งแต่ยังไม่เกิดโรคจะดีกว่ารอให้เกิดปัญหาแล้วจึงมาดูแลค่ะ
ขอบคุณข้อมูลจากรศ.พญ.ปรียานุช แย้มวงษ์
ภาควิชาอายุรศาสตร์Faculty of Medicine Siriraj Hospital
คณะแพทยศาสตร์ศิริราช

วันศุกร์ที่ 12 พฤศจิกายน พ.ศ. 2553

ขับลมได้ด้วยการ "นอนกอดเข่า"

ปกติเป็นคนที่ลมในช่องท้องเยอะมาก ทำให้อยากเรอ อยายผายลม(ตดนั่นเอง) ทำให้ต้องกินยาธาตุน้ำแดงอยู่บ่อยๆ จนมาอ่านพบวิธีที่สามารถช่วยขับลมได้ แค่นอนกอดเข่า

ท่านี้ทำได้ง่าย ๆ เพียงนอนราบ จากนั้นงอเข่าทั้งสองข้างขึ้นมาถึงยอดอก
พร้อมทั้งใช้มือทั้งสองข้างกอดเข่าเอาไว้ แล้วหายใจเข้าและออก ก่อนยกศีรษะโน้มเข้าหาเข่า
จากนั้นตะแคงตัวไปด้านข้างขณะที่ยังนอนกอดเข่าอยู่ โดยตะแคงค้างนาน 10 วินาที แล้วเบี่ยงตัวกลับท่าเดิม และตะแคงตัวไปอีกข้าง
ท่านอนกอดเข่า นอกจากจะช่วยขับลมแล้ว ยังสามารถผ่อนคลายกล้ามเนื้อที่ตึงตัวของคอและหลังด้วย.


ที่มา : dailynews

วันอังคารที่ 9 พฤศจิกายน พ.ศ. 2553

อารมณ์ของแต่ละราศี

ความเจ้าอารมณ์ของแต่ละราศี

ราศีมังกร(14 ม.ค.-13 ก.พ.)
เป็นคนธาตุดินกลาง เปรียบได้กับ ดินในถ้ำหิน จึงทำให้ชาวราศีนี้ไม่ค่อยแสดงอารมณ์อะไรออกมามากนัก เพราะคุณจะไม่สามารถดูออกได้เลยว่าเขากำลังอยู่ในอารมณ์ไหน และถึงแม้เขาจะโมโหปานใดก็ตาม เขาจะไม่ระบายออกกับใครทั้งสิ้นอย่างมากก็บ่นนิดๆหน่อยๆ แล้วก็จะเก็บไว้เองคนเดียว

ราศีกุมภ์(14 ก.พ.-13 มี.ค.)
เป็นคนธาตุลมเล็ก เปรียบได้กับ ลมที่พัดธรรมดา จึงทำให้ชาวราศีนี้อารมณ์ไม่ค่อยแปรปรวนเท่าไร จึงไม่ค่อยมีปัญหาสำหรับอารมณ์ของชาวราศีนี้ แต่ถ้าเขาโมโหเมื่อไร เขาจะไม่พูดกับคุณเลย และทำหน้าบึ้งใส่คุณอีกต่างหาก

ราศีมีน(14 มี.ค.-13 เม.ย.)
เป็นคนธาตุน้ำใหญ่ เปรียบได้กับคลื่นน้ำในมหาสมุทร จึงทำให้ชาวราศีนี้ไม่ค่อยแสดงอารมณ์มากนัก เหมือนราศีมังกร แต่รุนแรงกว่า ซึ่งถ้าจะระบาย ชาวราศีนี้จะระบายเพียงแค่คนรู้จักเท่านั้น แต่เขาจะไม่โกรธแค้นหรือเกลียดคุณแม้ว่าคุณจะทำให้เขาโมโหขนาดไหนก็ตาม

ราศีเมษ (14 เม.ย.–13 พ.ค.)
เป็นคนธาตุไฟใหญ่ หรือไฟต้นธาตุ เปรียบได้กับไฟของดวงอาทิตที่ร้อนแรง จึงทำให้เขาเป็นคนที่ใจร้อน (โคตร) ซึ่งถ้าเขาโมโหเมื่อไร เป็นได้พังกันไปข้าง

ราศีพฤษภ(14 พ.ค.-13 มิ.ย.)
เป็นคนธาตุดินใหญ่ เปรียบได้กับ ดินของภูเขา จึงทำให้ชาวราศีนี้เป็นคนที่อารมณ์นิ่งมาก ไม่หวั่นไหวง่าย จึงไม่ค่อยมีปัญหาเรื่องอารมณ์เท่าไรนักกับชาวราศีนี้

ราศีเมถุน(14 มิ.ย.–13 ก.ค.)
เป็นคนธาตุลมกลาง เปรียบได้กับ ลมมรสุม จึงทำให้ชาวราศีนี้เป็นคน2อารมณ์ และแปรปรวนค่อนข้างง่าย ซึ่งถ้าชาวราศีนี้กำลังอารมณ์ไม่หรือ อยู่ในช่วงอารมณ์แปรปรวน กรุณาอย่าเข้าใกล้ เพราะเขาจะพาลคุณไปด้วย เหมือนลมมรสุม ที่พัดพาสิ่งของให้ปลิวว่อนแล้ว และบังเกิดฝนตามมา

ราศีกรกฏ(14 ก.ค.-13 ส.ค.)
เป็นคนธาตุน้ำเล็กเปรียบ ได้กับ น้ำที่อยู่ในบึงทะเลสาบ จึงทำให้ชาวราศีนี้เป็นคนมีอารมณ์ที่บอกได้ชัดเลยว่า จะมาแนวไหน เช่นถ้าเขาโมโห คุณจะสามารถรู้ได้ทันทีว่า เขากำลังโมโหอยู่ จึงไม่ค่อยเป็นปัญหากับคนรอบข้างเท่าไรนัก เพราะคนรอบข้างจะปล่อยให้เขาหายโมโหก่อน แล้วค่อยเข้าไปคุยด้วยได้

ราศีสิงห์(14 ส.ค.-13 ก.ย.)
เป็นคนธาตุไฟกลางเปรียบ ได้กับไฟในกองเพลิง จึงทำให้ชาวราศีนี้ เป็นคนใจร้อนปานกลางถึงขั้นมาก แต่ไม่ถึงกับโมโหรุนแรงมากเท่ากับราศีเมษ แต่อย่าไปพยายามเติมอารมณ์ของเขาให้โมโหมากขึ้นกว่าล่ะ เพราะเหมือนเป็นการเติมเชื้อไฟเข้าไป อาจทำให้ลุกลามใหญ่โตได้

ราศีกันย์(14 ก.ย.-13 ต.ค.)
เป็นคนธาตุดินเล็กเปรียบ ได้กับ ดินธรณีธรรมดา จึงทำให้ชาวราศีนี้อารมณ์คงที่ แต่ไม่มากนัก แต่อย่าทำให้เธอโกรธละกัน เพราะเธอจะไม่แยแสคุณว่าคุณจะง้อด้วยวิธีไหนจนกว่าเธอจะคลายความโกรธลงไปได้

ราศีตุลย์(14 ต.ค.-13พ.ย.)
เป็นคนธาตุลมใหญ่เปรียบ ได้กับลมพายุ จึงทำให้ชาวราศีนี้เป็นคนที่ แปรปรวนที่สุด ในบรรดา12จักรราศีทั้งหมด เพราะเมื่อใดก็ตามที่ เขาโมโห เขาจะเดินหายไปจากคุณเลยในวันนั้น แต่วันต่อมาเขาจะกลับมาดีกับคุณเหมือนว่าไม่เคยโกรธกันมาก่อนเลยในชาตินี้

ราศีพิจิก(14 พ.ย.-13ธ.ค.)
เป็นคนธาตุน้ำกลาง เปรีย บได้กับน้ำจากลำธารหรือน้ำตก จึงทำให้ชาวราศีนี้อารมณ์รุนแรงขึ้นอยู่กับสถานการณ์ที่ประสบอยู่ในตอนนั้น เช่นถ้าคุณทำผิดเล็กๆน้อย ก็อาจจะโกรธไม่มาก แต่ถ้าผิดอย่างใหญ่หลวง ก็ดูฤทธิ์เดชของชาวราศีนี้เอาเองละกัน เพราะราศีนี้อะไรอยู่ใกล้มือไม่ได้ เป็นขว้างใส่หมด ขึ้นชื่อมากในเรื่องกรทำลายเมื่อเธออยู่ในอารมณ์ที่บ้าคลั่ง

ราศีธนู(14 ธ.ค.-13 ม.ค.)
เป็นคนธาตุไฟเล็ก เปรียบได้กับ ไฟจากคบเพลิง จึงทำให้ชาวราศีนี้ อารมณ์ไม่ค่อยรุนแรงเท่าใดนัก แต่เมื่อเขาโมโห อารมณ์เขาก็ออกน่ากลัวหน่อยนึง ไม่ถึงกับขนาดฆ่ากันตาย แต่เขาอาจจะไประบายออกกับ สิ่งอื่นๆมากกว่า เช่นการต่อยกระสอบทรายอะไรพวกนี้แทน

วันจันทร์ที่ 1 พฤศจิกายน พ.ศ. 2553

เวลาของนาฬิกา..ที่ต้องเปลี่ยนแปลง






เมื่อวานได้อ่านหนังสือพิมพ์ ว่าได้มีงานวิจัยออกมาว่า ปัจจุบันนี้คนส่วนใหญ่ โดยเฉพาะวัยรุ่นนิยมดูเวลาด้วยโทรศัพท์มือถือมากกว่า นาฬิกาข้อมือ แต่คนสมัยก่อนจะยังนิยมใช้นาฬิกาข้อมือมากกว่า


ตอนเด็กๆยังจำได้ว่า เป็นคนติดนาฬิกามาก ก่อนออกจากบ้านไปโรงเรียนทุกวันจะต้องใส่นาฬิกาข้อมือทุกวันแต่โทรศัพท์มือถือเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งในชีวิตประจำวัน การดูเวลาจากนาฬิกาข้อมือก็เปลี่ยนเป็นดูเวลาจากโทรศัพท์มือถือแทน เนื่องจากสะดวก และไม่ตกพกนาฬิกาข้อมือให้ยุ่งยาก